หุ้นกู้ คืออะไร
หุ้นกู้ คือ ตราสารหนี้ประเภทหนึ่งที่บริษัทเอกชน (หรือรัฐวิสาหกิจ) ออกเพื่อระดมทุนจากนักลงทุน โดยมีข้อผูกพันว่าจะคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยภายในระยะเวลาที่กำหนด พูดง่ายๆ ก็คือคุณให้ บริษัท ยืมเงิน แล้วบริษัทก็จ่าย ดอกเบี้ย ให้คุณเป็นรายงวด พอครบกำหนดก็คืนเงินต้น
ตอนที่ 1 : ประเภทของหุ้นกู้
ตอนที่ 2 : ความเสี่ยงและผลตอบแทน
ตอนที่ 3 : วิธีเลือกลงทุนในหุ้นกู้
ตอนที่ 4 : หุ้นกู้เหมาะกับใคร
ตอนที่ 5 : ข้อดีข้อเสียของหุ้นกู้
ตอนที่ 6 : สรุป
ประเภท หุ้นกู้
🔹 1. แบ่งตามการมีหลักประกัน
- Debentureมีหลักประกัน บริษัทนำทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเงินฝาก มาเป็นหลักประกัน หากผิดนัดชำระ ผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับเงินจากหลักประกันนั้นก่อน
- Debentureไม่มีหลักประกัน ไม่มีทรัพย์สินค้ำประกัน ผู้ถือหุ้นต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือของบริษัทเป็นหลัก
🔹 2. แบ่งตามความสามารถในการแปลงสภาพ
- Debentureแปลงสภาพ สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญของบริษัทได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด
- Debentureไม่แปลงสภาพ ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นของบริษัทได้
🔹 3. แบ่งตามลำดับความสำคัญในการชำระหนี้
- Debentureลำดับแรก (Senior Bond) ได้รับสิทธิก่อนหากบริษัทล้มละลาย
- Debentureด้อยสิทธิ (Subordinated Bond) ได้รับชำระเงินรองจากหุ้นลำดับแรก (เสี่ยงสูง แต่ให้ผลตอบแทนมากกว่า)
🔹 4. แบ่งตามอายุของDebenture
- Debentureระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี)
- Debentureระยะกลาง (1–5 ปี)
- Debentureระยะยาว (มากกว่า 5 ปี)
🔹 5. Debenture ถาวร
- ไม่มีวันครบกำหนดไถ่ถอน แต่บริษัทจะจ่ายดอกเบี้ยให้เรื่อยๆ จนกว่าจะไถ่ถอน
ความเสี่ยงและผลตอบแทน
ในบริบทของการลงทุน “ความเสี่ยงและผลตอบแทน” เป็นแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญที่สุดและมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แท้จริงแล้ว มักจะถูกกล่าวถึงว่าเป็น “ความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน” ซึ่งหมายความว่า
โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูง ลงทุนออนไลน์ ก็จะมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงตามไปด้วย ในขณะที่การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ มักจะให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่า
ความเสี่ยงหุ้นกู้
ในบริบทของการลงทุน ความเสี่ยงหมายถึง โอกาสหรือความเป็นไปได้ที่ผลตอบแทนจากการลงทุนจะแตกต่างไปจากที่คาดการณ์ไว้ หรือ โอกาสที่จะสูญเสียเงินต้นบางส่วนหรือทั้งหมดที่ลงทุนไป
- ความเสี่ยงทางตลาด (Market Risk / Systematic Risk): ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดโดยรวม ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล ภัยธรรมชาติ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีผลกระทบต่อตลาดโดยรวม
- ความเสี่ยงเฉพาะตัว (Specific Risk / Unsystematic Risk): ความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยเฉพาะของสินทรัพย์นั้นๆ หรือบริษัทใดบริษัทหนึ่ง สามารถลดได้ด้วยการกระจายความเสี่ยง (Diversification) เช่น การเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของบริษัท ปัญหาการบริหาร ความนิยมของผลิตภัณฑ์ลดลง
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): ความเสี่ยงที่สินทรัพย์ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตามต้องการในเวลาที่รวดเร็ว หรือต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
- ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): ความเสี่ยงที่มูลค่าของสินทรัพย์จะเปลี่ยนแปลงไปตามการขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะตราสารหนี้
- ความเสี่ยงด้านเครดิต/การผิดนัดชำระหนี้ (Credit Risk / Default Risk): ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้ตามกำหนด
- ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk): ความเสี่ยงที่เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้มูลค่าเงินลงทุนเมื่อแปลงกลับมาเป็นสกุลเงินท้องถิ่นลดลง
- ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk): ความเสี่ยงที่อำนาจซื้อของเงินลงทุนจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไปเนื่องจากเงินเฟ้อ
ผลตอบแทนของ หุ้นกู้
- ผลตอบแทนจากรายได้ (Income Return): ผลตอบแทนที่ได้รับในรูปของกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอ เช่น ดอกเบี้ยจากเงินฝาก/พันธบัตร เงินปันผลจากหุ้น หรือค่าเช่าจากอสังหาริมทรัพย์
- ผลตอบแทนจากส่วนต่างราคา (Capital Gain/Loss): ผลตอบแทนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสินทรัพย์ เช่น ซื้อหุ้น 10 บาท ขายได้ 12 บาท ก็จะได้กำไร 2 บาท หรือถ้าขายได้ 8 บาท ก็ขาดทุน 2 บาท
การคำนวณผลตอบแทน : ผลตอบแทน (เป็น %) = (มูลค่าสุดท้าย – มูลค่าเริ่มต้น + รายได้ระหว่างทาง) / มูลค่าเริ่มต้น x 100
วิธีเลือกลงทุนในหุ้นกู้
✅ 1. ดูอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating)
คะแนนจากบริษัทจัดอันดับ เช่น TRIS หรือ Fitch
- ระดับ AAA ถึง A: ความเสี่ยงต่ำ
- BBB: ความเสี่ยงปานกลาง
- ต่ำกว่า BBB: ความเสี่ยงสูง (ผลตอบแทนมักมากขึ้นตามความเสี่ยง)
📝 เคล็ดลับ: มือใหม่ควรเริ่มจากหุ้นที่มีเรตติ้งระดับ Investment Grade ในเว็บ ลงทุนออนไลน์
✅ 2. ดูอัตราดอกเบี้ย (Coupon Rate)
- ถ้าดอกเบี้ยสูงผิดปกติเมื่อเทียบกับเรตติ้งเดียวกัน อาจแปลว่าเสี่ยง
- เลือกที่ อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ
✅ 3. พิจารณาอายุของ Debenture
- ระยะสั้น (1–3 ปี): สภาพคล่องสูง เหมาะกับคนที่ไม่อยากล็อกเงินไว้นาน
- ระยะยาว (5 ปีขึ้น): ดอกเบี้ยมักสูงกว่า แต่เสี่ยงจากความผันผวนในระยะยาว
✅ 4. ดูเงื่อนไขพิเศษ
- หุ้นแปลงสภาพ / ด้อยสิทธิ / มีสิทธิซื้อคืนก่อนกำหนด
- อ่านหนังสือชี้ชวนให้เข้าใจ เพื่อไม่พลาดจุดสำคัญ
✅ 5. กระจายความเสี่ยง
- อย่าลงเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว
- ลงหลายบริษัท หลายอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันความเสียหายหนักหากเกิดเหตุไม่คาดคิด
✅ 6. ซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้
- ผ่านธนาคาร พันธมิตรหลักทรัพย์ หรือแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต.
- ตรวจสอบข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนก่อนลงทุน
หุ้นกู้ เหมาะกับใคร
🔹 ผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ เหมาะกับคนที่อยากได้รับดอกเบี้ยเป็นงวด เช่น ทุก 6 เดือน หรือรายปี เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
🔹 ผู้ที่ไม่ชอบความผันผวนของตลาดหุ้น หุ้นมีความเคลื่อนไหวของราคาน้อยกว่า จึงเหมาะกับคนที่ไม่อยากลุ้นหนักแบบการลงทุนในหุ้น
🔹 นักลงทุนวัยเกษียณ หรือใกล้เกษียณ ต้องการความมั่นคงของเงินต้น และรับผลตอบแทนที่แน่นอนในระยะยาว
🔹 ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ต ใช้หุ้นเป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมในพอร์ตการลงทุน
🔹 ผู้ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงต่ำ ไม่ต้องการสูญเสียเงินต้น แต่ยังต้องการผลตอบแทนดีกว่าเงินฝากธนาคาร
ข้อดีข้อเสียของ หุ้นกู้
ข้อดี
- ผลตอบแทนแน่นอน ได้รับดอกเบี้ยตามที่ตกลงไว้ เช่น ปีละ 4% ตลอดอายุสัญญา
- เสี่ยงน้อยกว่าหุ้น ราคาผันผวนน้อย เหมาะกับคนที่ไม่อยากลุ้นหนัก
- ได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด หากผู้ออกหุ้นไม่ล้มละลาย ก็ได้เงินคืนครบตามระยะเวลา
- กระจายความเสี่ยงได้ดี ใช้เป็นทางเลือกเสริมในพอร์ตการลงทุน
- ซื้อขายได้ในตลาดรอง หากต้องการขายก่อนครบกำหนดก็สามารถทำได้ (แต่อาจได้ราคาน้อยกว่าหน้าตั๋ว)
ข้อเสีย
- เสี่ยงหากผู้ออกหุ้นผิดนัดชำระ ถ้าบริษัทล้มละลาย อาจไม่ได้รับเงินต้นหรือดอกเบี้ยคืน
- ผลตอบแทนอาจต่ำกว่าหุ้น ไม่ได้ลุ้นเติบโตเหมือนการถือหุ้นบริษัท
- ไม่เหมาะกับช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ถ้าดอกเบี้ยตลาดสูงขึ้น Debentureที่ถืออยู่อาจมีมูลค่าลดลง
- ต้องถือจนกว่าจะครบกำหนด แม้จะมีตลาดรอง แต่การขายออกก่อนกำหนดอาจไม่คุ้ม
- อาจเข้าใจยากสำหรับมือใหม่ มีหลายประเภทและเงื่อนไข เช่น มีประกันหรือไม่มีประกัน แปลงสภาพได้หรือไม่ได้
สรุป
การให้บริษัทกู้เงิน โดยเราจะได้รับ “ดอกเบี้ย” เป็นผลตอบแทนตามระยะเวลาที่กำหนด เหมาะกับคนที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น ได้เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด แต่ต้องเลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือ เพราะถ้าบริษัทเจ๊ง…เงินเราก็เสี่ยงหายได้ครับ
Comments are closed